ทำไมการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายจึงสำคัญ?
พื้นฐานที่ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ต้องรู้
การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)และภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำธุรกิจ การออกใบกำกับภาษี และการรับงานอิสระ เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับกฎหมายและการเงิน หากคำนวณไม่ถูกต้องอาจทำให้เสียภาษีเกินหรือถูกปรับได้
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
อัตราภาษีที่ใช้ในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยกำหนด VAT อยู่ที่7%(อัตราชั่วคราว) โดยผู้ประกอบการจด VAT ต้องคิด VAT เมื่อขายสินค้า/บริการ
สูตรคำนวณ VAT
- ยอดก่อน VAT → ยอดรวม= ยอดก่อน VAT × (1 + 0.07)
- ยอดรวม → VAT= (ยอดรวม × 7) ÷ 107
ตัวอย่าง:
ขายสินค้า 10,000 บาท (ยังไม่รวม VAT)
VAT = 10,000 × 7% = 700 บาท
รวมทั้งสิ้น = 10,700 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ความหมาย
เป็นภาษีที่ผู้จ่ายเงินต้องหักจากผู้รับเงินบางประเภท แล้วนำส่งกรมสรรพากรแทน โดยอัตราการหักขึ้นอยู่กับลักษณะงาน เช่น ค่าเช่า ค่าบริการ ค่าก่อสร้าง ฯลฯ
อัตราที่พบบ่อย
- ค่าบริการทั่วไป3%
- ค่าเช่า5%
- ค่ากำกับดูแล / ค่าที่ปรึกษา5%
- ค่าขนส่ง1%
สูตรคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย = ฐานภาษี × อัตราภาษี (%)
ตัวอย่าง:
ค่าบริการ 10,000 บาท
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย = 10,000 × 3% = 300 บาท
ผู้ให้บริการได้รับจริง = 9,700 บาท (แต่ยังนำ 300 บาทไปเครดิตภาษีในภายหลังได้)
การคำนวณ VAT และหัก ณ ที่จ่ายร่วมกัน
หลายธุรกรรม โดยเฉพาะงานบริการ มักต้องคำนวณทั้งVATและภาษีหัก ณ ที่จ่ายพร้อมกัน
สูตรคำนวณ (ตัวอย่างค่าบริการ)
- คิด VAT จากยอดค่าบริการ (7%)
- คิดภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากยอดค่าบริการ (3% หรืออัตราที่กฎหมายกำหนด)
- ผู้รับเงินจะได้ = (ค่าบริการ + VAT) – ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ตัวอย่างจริง:
ค่าบริการ = 10,000 บาท
VAT 7% = 700 บาท
รวมเป็น 10,700 บาท
หัก ณ ที่จ่าย 3% จาก 10,000 = 300 บาท
ผู้ให้บริการได้รับเงินสุทธิ = 10,400 บาท
ประโยชน์ของการคำนวณที่ถูกต้อง
- โปร่งใส– แสดงให้คู่ค้าหรือหน่วยงานเห็นความถูกต้อง
- ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย– ป้องกันการถูกปรับจากกรมสรรพากร
- บริหารการเงินได้แม่นยำ– วางแผนรายได้-รายจ่ายได้ถูกต้อง
บทสรุป
การคำนวณ VAT และภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นหัวใจของการทำบัญชีเบื้องต้นและการบริหารธุรกิจ การเข้าใจสูตรและตัวอย่างการคำนวณจะช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มความมั่นใจ และทำให้งานด้านการเงินเป็นระบบมากขึ้น